ในปี 2568 ประเทศไทยตั้งเป้ายกระดับตนเองให้เป็นศูนย์กลางด้านการดูแลสุขภาพ (Wellness Economy) ที่คาดว่าจะสร้างผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวม ในขณะที่กระแสการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) จากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางอย่าง คูเวต กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยเม็ดเงินที่สะพัดสูงถึง 7 แสนล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 89,000 บาทต่อคนต่อทริป
ดร.กันยารัตน์ กุยสุวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์การพัฒนา “Medical Hub” ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2568 ถึง 2577 โดยมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการแพทย์แบบครบวงจร พร้อมทั้งพัฒนาระบบนิเวศในการส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์นี้จะแบ่งออกเป็น 5 ผลผลิตหลัก ได้แก่ Wellness Hub, Medical Service Hub, Academic Hub, Product Hub และ Health Convention and Exhibition Hub ซึ่งล้วนเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่ความเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพนานาชาติ
4 หมุดหมายหลักสู่อนาคต
จากข้อมูลของ Global Wellness Institute (GWI) ในปี 2565 สาขาที่สร้างมูลค่าการตลาดสูงสุดในประเทศไทยได้แก่ การกินดีและการลดน้ำหนัก การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การดูแลตัวเองและความงาม และการแพทย์แผนไทย ซึ่งรวมแล้วมีสัดส่วนถึง 87% ของตลาดการดูแลสุขภาพ โอกาสของประเทศไทยในด้านเศรษฐกิจการดูแลสุขภาพมีมากมาย โดยเฉพาะในด้านอาหารเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและความงามที่มีสัดส่วนสูงถึง 68% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าประเทศไทยจะสามารถขยายตัวและสร้างตลาดใหม่ๆ ได้อีกมากในอนาคต
ข้อมูลเพิ่มเติม : กระทรวงสาธารณสุข
โทร. 0 2590 1000
Link : https://www.moph.go.th/